วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กระทู้เด็ดๆเทคนิคเรียนโดนๆ

เอาใจชาวพันทิปหรือนักอ่านกระทู้ 

กับ

กระทู้ดีๆมีสาระที่ Must Read



มีกระทู้ดีๆอีกมากมาย หวังว่ากระทู้ที่รวบรวมมาข้างต้นจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านค่ะ

กิจกรรมดีๆพัฒนาเด็กๆ

กิจกรรมมีให้เลือกมากมาย และมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะให้ความรู้ที่แตกต่างกัน

รายการกิจกรรมระยะเวลาสถานที่จองกิจกรรม
กลุ่มวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีเสาร์ – อาทิตย์ 13.30 – 16.30 น. 3 ชั่วโมง/ครั้งบริการนอกสถานที่
กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสาร์ – อาทิตย์ 09.30 – 12.30 น. 3 ชั่วโมง/ครั้งบริการนอกสถานที่
กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี1 ชั่วโมง/รอบบริการนอกสถานที่
กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี3 ชั่วโมง/รอบบริการนอกสถานที่
ศูนย์บริการวิทยาศาสตร์สุขภาพตลอดปีนอกสถานที่
กลุ่มวิทยาศาสตร์เคลื่อนที่ตั้งแสดง 3 - 5 วัน (เดินทาง/ติดตั้ง/รื้อถอน 2 วัน)นอกสถานที่
Science Camp English versionAll yearScience Center for Education
ค่ายวิทยาศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษตลอดปีศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา
ค่ายวิทยาศาสตร์ตลอดปีศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา
ค่าย Kids’ Science21 - 22 เม.ย. 2558ศูนย์สร้างสรรค์เยาวชน (กระจ่าง บริรักษ์นิติเกษตร)โทร. 0 2437 2490
ค่ายคนดีมีน้ำใจ14 – 17 ต.ค. 2557ศูนย์สร้างสรรค์เยาวชน (กระจ่าง บริรักษ์นิติเกษตร)
งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ18 - 24 ส.ค. 2558ศูนย์สร้างสรรค์เยาวชน (กระจ่าง บริรักษ์นิติเกษตร)
งานวันเด็กแห่งชาติ10 ม.ค.2558ศูนย์สร้างสรรค์เยาวชน (กระจ่าง บริรักษ์นิติเกษตร)
ค่าย Young Designer23 - 24 เม.ย. 2558ห้องปฏิบัติการนิวเคลียส ชั้น 7 อาคาร 4
ค่าย “กีฬาเพื่อสุขภาพ”1 เม.ย. - 6 พ.ค. 2558ศูนย์บริการวิทยาศาสตร์สุขภาพ อาคาร 6

ภาพข้างบนเป็นตัวอย่างกิจกรรม ท่านใดสนใจสามารถคลิ้กได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยค่ะ

แหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจ

แหล่งเรียนรู้แนะนำ
วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจและน้องๆหนูๆหลายคนก็คงจะชอบ บางคนก็อาจจะเคยรู้จักแล้ว งั้นไปดูกันเลย

ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ

เมื่อปี พ.ศ. 2505 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ จัดสร้างอาคารท้องฟ้าจำลองกรุงเทพอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ การก่อสร้างเริ่มดำเนินไป ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2504 พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ โดยห้างบีกริมแอนด์โค กรุงเทพฯ และบริษัท คาร์ลไซซ์ จำกัด แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ต่อมาเมื่อวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2507 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด อาคารท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ อย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาที่ให้ความรู้ทางเทคโนโลยีอวกาศ โดยภายในจัดแสดงการฉายภาพดาวในจักรวาล ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้กองอุปกรณ์การศึกษา เป็นผู้ดำเนินการ
ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ ใช้เครื่องฉายดาวไซซ์ส รุ่นที่ 4 ซึ่งประกอบด้วยระบบเครื่องกล ระบบไฟฟ้า และระบบแสงที่ประณีตซับซ้อน สามารถแสดงภาพดวงดาวบนท้องฟ้าของประเทศใดก็ตาม ตามวันและเวลาที่ต้องการ โดยมีความสามารถฉายดาวฤกษ์ได้ 9,000 ดวง, ฉายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ 5 ดวง เคลื่อนผ่านกลุ่มดาวต่างๆ, ฉายภาพกลุ่มดาว ทางช้างเผือก กระจุกดาว ดาวหาง ดาวตก เมฆ แสงรุ่งอรุณ แสงสนธยา, แสดงการเกิดสุริยุปราคา จันทรุปราคา เส้นศูนย์สูตร เส้นสุริยวิถี เส้นเมอริเดียน ระบบสุริยะ และโลกหมุนรอบตัวเอง




หนังสือเสริมความรู้เด็ดๆ


หนังสือดีๆมีมากมายมาดูกันเถอะ


ยกเครื่องความคิด

rework

ผู้เขียน Jason Fried, David Heinemeier Hansson ผู้แปล อาสยา ฐกัดกุล หนังสือ “ยกเครื่องเรื่องความคิด” ซึ่งแปลมาจากหนังสือ “Rework” ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีและน่าสนใจมากๆครับ หนังสือให้คำแนะนำแบบนอกรอกมากๆ แต่ไม่ได้นอกกรอบแบบไร้เหตุผล ถือว่าให้แง่คิดอีกมุมมองนี่นึกไม่ถึงได้เสมอๆ เช่นการยกตัวอย่างการเรียนรู้จากข้อผิดพลาด เป็นต้น



เลิกขมวดคิ้วซะ เพราะคุณคือ อัจฉริยะนักแก้ปัญหา

เลิกขมวดคิ้วซะ เพราะคุณคือ อัจฉริยะนักแก้ปัญหา

เจอปัญหาแล้วท้อถอยถอดใจ!
เมื่อเผชิญกับปัญหายากๆ คนส่วนใหญ่อาจรู้สึกเครียดจนคิ้วขมวด เพราะไม่รู้จะแก้อย่างไร ทั้งๆ ที่ศักยภาพในการแก้ปัญหานั้นมีอยู่ในสมองของเราทุกคน…เพียงแต่เรายังไม่รู้วิธีการปลดปล่อยมันออกมาเท่านั้น หนังสือเล่มนี้จะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อปัญหาให้เป็นไปในทางบวก ปลดล็อกศักยภาพในการแก้ปัญหาที่แฝงเร้นอยู่ในตัวพวกเราทุกคน พร้อมทั้งแนะนำเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยให้คลี่คลายปัญหาได้อย่าง่ายดายในทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว เมื่อฝึกปรือจนช่ำชองแล้ว คุณจะแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องเหนื่อยใจเหมือนในอดีต เพราะสมองจะทำหน้าที่เหล่านั้นแทนคุณโดยอัตโนมัติ!



English Grammar in Use

English Grammar in Use
อ่านเล่มนี้จบเมื่อไหร่คุณจะพบกับภาษาอังกฤษรูปแบบใหม่ของตัวเอง ซึ่งผลลัพท์ที่ได้จะทำให้คุณทึ่ง



มีอีกมากมายลองไปดูเองเลยยยยยย

การสอนเด็กให้ใฝ่เรียนใฝ่รู้ไม่ยากอย่างที่คิด


Tipsสอนเด็ก



 การใฝ่เรียนรู้ (Putting effort persistently) หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน เด็กที่เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ จึงเป็นเด็กที่มีความตั้งใจ มีความเพียรพยายามในการเรียน สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ชอบแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ สามารถเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม มีการบันทึกความรู้ วิเคราะห์ข้อมูล สรุปเป็นองค์ความ รู้ นำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น สามารถถ่ายทอด เผยแพร่ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

การสอนลูกให้ใฝ่เรียนรู้มีความสำคัญอย่างไร?

การที่คนเราจะมีชีวิตที่ดีงาม เราจะต้องศึกษาฝึกฝนพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไป เมื่อเราฝึกฝนพัฒนา มีการศึกษา ก็ทำให้การดำเนินชีวิตของเราดีขึ้น เพราะการดำเนินชีวิตเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้หรือได้ศึกษา ยิ่งเราเรียนรู้ ก็ยิ่งมีชีวิตที่ดี การดำเนินชีวิตที่ดี จึงเป็นการดำเนินชีวิตพร้อมไปกับการเรียนรู้ เพราะชีวิตที่ดี คือ ชีวิตแห่งการศึกษาเรียนรู้ ซึ่งการที่เด็กจะเป็นผู้มีความตั้งใจใฝ่เรียนรู้ ประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ 2 ด้าน คือ ปัจจัยภายในตัวเด็ก และ ปัจจัยภายนอกตัวเด็ก
  • ปัจจัยภายในตัวเด็ก คือ ความใฝ่เรียนรู้ ใฝ่ทำ หรือ อยากรู้ อยากทำ อยากสร้างสรรค์ เมื่อเด็กมีความอยากทำ ก็เป็นเหตุให้ต้องหาทางที่จะทำ คือ ต้องรู้ว่าจะทำได้อย่างไร ก็ทำให้อยากรู้และต้องหาข้อมูลความรู้ แล้วเอาข้อมูลความรู้นั้นมาเข้ากระบวนการคิด ให้รู้เข้าใจที่จะจัดทำให้สำเร็จ ซึ่งความใฝ่รู้ ใฝ่ทำ เรียกว่า “ฉันทะ”
  • ปัจจัยภายนอกตัวเด็ก คือ สภาพแวดล้อม ในสถานการณ์บางอย่าง เช่น ภัยอันตราย และสภาพการดำเนินชีวิตที่บีบ รัดต่างๆ มีการแข่งขันมาก จะบังคับให้คนต้องคิดหาทางออกหรือหาความรู้ เพื่อเอามาคิดแก้ปัญหา เมื่อสภาพชีวิตอยู่ในแบบนี้เป็นประจำ ก็จะเกิดเป็นนิสัยในการใฝ่เรียนรู้ แสวงปัญญา และคิดทำการต่างๆ
การฝึกให้เด็กเป็นคนคิดเป็น มีนิสัยใฝ่เรียนรู้ จะต้องเอาปัจจัยภายนอกมาโยงเข้ากับปัจจัยภายใน ซึ่งปัจจัยภายนอกก็คือ พ่อแม่ ครูอาจารย์ตั้งคำถามและนำเสนอทางเลือกของความคิดในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อกระตุ้น ชักนำ และฝึกให้เกิด ปัจจัยภายใน คือ โยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่มีลักษณะสำคัญ 4 ประการคือ
  • คิดให้เห็นทะลุตลอดลงไปถึงต้นตอรากเหง้า
  • คิดมีขั้นตอนเป็นลำดับ
  • คิดถูกวิธี
  • และคิดให้เกิดผลขึ้นมา
โดยการเลี้ยงดูฝึกอบรมให้เด็กมีความสนใจใฝ่เรียนรู้ และมีนิสัยในการคิดตามกระบวนการพัฒนาปัญญาอย่างถูกต้อง เพราะถ้าเราไม่มีวัฒนธรรมในการคิด ไม่ได้ฝึกการคิดและการหาความรู้กันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตขึ้นมา เด็กก็จะไม่มีนิสัยในการคิด เจออะไรก็ไม่อยากคิด และไม่สนใจใฝ่หาความรู้

การใฝ่เรียนรู้มีประโยชน์ต่อเด็กอย่างไร?

การปลูกฝังให้เด็กมีความตั้งใจ ใฝ่เรียนรู้ จะต้องปลูกฝังให้เด็กได้ปฏิบัติตามหลักธรรมที่จะนำไปสู่ความสำเร็จและมีชีวิตที่ก้าวหน้า เรียกว่า อิทธิบาท 4 คือ
  • ฉันทะ มีใจรัก คือ พอใจจะทำสิ่งนั้น และทำด้วยใจรัก ต้องการทำให้เป็นผลสำเร็จอย่างดี เด็กที่มีความพอใจในการศึกษาเล่าเรียน ก็จะตั้งใจเรียน เอาใจใส่ สนใจสิ่งที่ครูกำลังสอน ฟังอย่างตั้งใจ และสามารถจดจำเรื่องต่างๆที่ครูอธิบาย มีความสุขในการมาเรียน ไม่เบื่อหน่าย ไม่เกียจคร้าน แต่มีความอดทนขยันหมั่นเพียร และเรียนอย่างจริงจังต่อเนื่อง เด็กเหล่า นี้จึงเป็นเด็กดีและสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีได้
  • วิริยะ พากเพียรทำ คือ ขยัน หมั่นประกอบสิ่งต่างๆ และกระทำสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน ไม่ท้อถอย ไม่ทอดทิ้ง แต่มุ่งมั่นก้าวไปข้างหน้าจนกว่าจะสำเร็จ เด็กที่มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร ก็จะหาเวลาทบทวนวิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาให้เข้าใจถ่องแท้ มีความรับผิดชอบทำการบ้านให้สำเร็จ เรียบร้อย สมบูรณ์
  • จิตตะ เอาจิตฝักใฝ่ คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด ไม่ปล่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอย แต่จะใช้ความคิดทบทวนทำงานต่างๆที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จไปด้วยดี ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
  • วิมังสา ใช้ปัญญาสอบสวน คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อที่เกินเลยบก พร่องขัดข้องในสิ่งที่ทำนั้น โดยรู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เพื่อจัดการและดำเนินการนั้นให้ได้ผล ดียิ่งขึ้นไป
ดังนั้น เด็กที่ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมที่จะนำไปสู่ความสำเร็จนี้ ก็จะมีความสำเร็จในการเรียน และมีชีวิตที่ก้าวหน้าตามความประสงค์ เพราะเป็นชีวิตที่มีการศึกษา ใฝ่เรียนรู้ ฝึกหัด พัฒนาอยู่ตลอดเวลา

ครูจัดกิจกรรมส่งเสริมการใฝ่เรียนรู้ให้ลูกที่โรงเรียนอย่างไร?

กระบวนการเรียนรู้หรือการพัฒนาให้เด็กเป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ ครูจะออกแบบกิจกรรมหรือกิจวัตรประจำวันโดยคำนึง ถึงผลที่จะเกิดกับผู้เรียน ทั้งด้านความรู้และการพัฒนาตน จนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ดี เกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองในทางที่ดีขึ้น สามารถพัฒนากาย วาจา ใจ ไปสู่ปัญญาได้ด้วยตนเองในที่สุด ดังนี้
  • การพัฒนาภายใน หรือ การพัฒนาแก่นแท้ของชีวิต ด้วยการ “พัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์” ทั้งพฤติกรรม จิตใจ ปัญญา ไปสู่ความดี โดยมีเป้าหมายว่า เรียนแล้วเด็กพัฒนาขึ้น เรียนแล้วครูพัฒนาขึ้น เรียนแล้วมีประโยชน์ต่อผู้อื่น เรียนแล้วเกื้อกูลต่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเรียนแล้วเป็นฐานให้ก้าวต่อไปในความดี
    • ด้านพฤติกรรม : ครูฝึกมารยาท การอยู่ร่วมกัน และการปฏิบัติต่อผู้อื่นให้กับเด็กเป็นประจำสม่ำเสมอ เช่น การพูดไพเราะ การกล่าวคำขอบคุณและขอโทษ การกราบพระ การกราบผู้ใหญ่ การดูแลสิ่งรอบตัวให้เรียบร้อย มีระเบียบสวยงาม และการฝึกพฤติกรรมการบริโภคปัจจัย 4 แต่พอดี โดยเฉพาะการรับประทานอาหาร
    • ด้านจิตใจ : ครูฝึกเด็กแบบง่ายๆ ด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ฝึกความสงบ ฝึกควบคุมจิตใจและความมั่นคงของใจ โดยจัดเป็นวิถีปฏิบัติ เช่น การสวดมนต์ เจริญสติ การรักษาศีล การฝึกกำกับตัวเองให้รู้จักจังหวะและกาลเทศะ ผ่านกิจกรรมต่างๆทางศาสนา
    • ด้านปัญญา : ครูจัดเวลาให้เด็กได้ศึกษาและเรียนรู้ธรรมชาติรอบตัว ฝึกสังเกต จดบันทึก ตลอดถึงการฝึกวิเคราะห์กิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้น
  • การพัฒนาภายนอก หรือ การพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเด็ก ทั้งในปัจจุบันและอนาคต “พัฒนาความรู้ความเข้าใจต่อองค์ประกอบในระบบชีวิตแบบองค์รวม” ทั้งในส่วนของเนื้อหาสาระวิชา การ ทักษะการงาน และการดูแลตนเอง รวมถึงความสามารถที่จะระบุคุณค่าแท้ของสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของเด็ก โดยมีเป้าหมายว่า เรียนวิชาการให้ชำนาญแม่นยำ ด้วยความเข้าใจ นำไปใช้เป็น เรียนแล้วก่อให้เกิดปัญญาในการสัม พันธ์กับโลก สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเด็กเรียนวิชาต่างๆเพื่อตอบคำถามว่า เขาสามารถติดต่อสัมพันธ์กับโลกธรรมชาติ สังคมได้อย่างไร
    • เนื้อหาการเรียน : ครูนำเรื่องการรู้จักตนเอง สังคมรอบตัว ธรรมชาติ และเทคโนโลยีมาเป็นเนื้อหาแบบเรียนและบูรณาการโดยไม่แยกส่วน
    • การเล่น : ครูเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ประกอบด้วยการเล่นอย่างมีแบบแผน กติกา และการเล่นอิสระตามจินตนาการ
    • กิจวัตรประจำวัน : ครูฝึกให้เด็กรู้จักช่วยเหลือตนเอง ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย จัดเก็บของใช้ส่วนตัวและส่วนรวม พับผ้า ซักผ้า รับประทานอาหาร จัดโต๊ะ เก็บล้าง ตักอาหารเอง รับประทานหมด ไม่เหลือทิ้ง ฯลฯ
    • การทำการงาน : ครูส่งเสริมให้เด็กได้คิดรายการอาหารที่มีประโยชน์ ได้ทำอาหาร ทำงานศิลปะหรืองานประดิษฐ์อื่นๆ ได้ปลูกต้นไม้ ได้ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ได้ดูแลพื้นที่ส่วนกลาง ได้ดูแลและเป็นผู้ให้บริการผู้ใหญ่
    • พัฒนากระบวนการคิด ที่ปรากฏอยู่ในกลุ่มทักษะความสามารถทางวิชาการ ซึ่งประกอบด้วยวิชาต่างๆ เช่น คณิต ศาสตร์ การใช้ภาษาเพื่อพูด ฟัง อ่าน เขียนในชีวิตประจำวัน เชาวน์ปัญญา และวิทยาศาสตร์
    • พัฒนาทักษะชีวิต ประกอบด้วยงานหัตถกรรม คหกรรม วรรณกรรม ศิลปกรรม กสิกรรม นาฏกรรม สถาปัตยกรรม คีตกรรมและดนตรี

พ่อแม่ ผู้ปกครองจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการใฝ่เรียนรู้ให้ลูกได้อย่างไร?

การศึกษาเริ่มต้นที่บ้าน ด้วยการเริ่มจากการสอนลูกให้ใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อการเรียน จนเกิดเป็นนิสัย เพราะสิ่งทั้งหลายเป็นประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ ก็เรียนรู้ได้หมด ทำให้ลูกเกิดความต้องการอยากเรียนรู้ที่เรียกว่า “ฉันทะ”
พ่อแม่จึงควรสอนให้ลูกมีความสุขกับการเรียนรู้ ด้วยการเตรียมตัวตั้งแต่ยังเล็ก ดังนี้
  • อ่านหนังสือกับลูกจนเกิดเป็นนิสัย พ่อแม่ควรจัดเวลาอ่านหนังสือกับลูก ชี้ชวน แนะนำ เล่านิทานจากในหนังสือให้ลูกฟัง และแสดงให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่ก็ชอบอ่านหนังสือ
  • ฝึกให้ลูกมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบงานในบ้านอย่างสม่ำเสมอ เปิดโอกาสให้ลูกได้ทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง ฝึกให้ลูกทำงานบ้านที่เหมาะสมกับวัย โดยพ่อแม่ช่วยแบ่งงานให้เป็นส่วน ที่ลูกสามารถทำสำเร็จและปล่อยให้ลูกทำเองได้ เช่น การแต่งตัว การดูแลตัวเอง การรักษาความสะอาดร่างกาย ของใช้ ห้องนอน การจัดเก็บโต๊ะอาหาร การล้างจาน ฯลฯ
  • จัดสรรตารางชีวิตกับลูก ฝึกลูกให้มีความสม่ำเสมอในการทำสิ่งต่างๆ ฝึกให้ลูกรู้จักใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ โดยพ่อแม่ลูกร่วมกันทำตารางชีวิตในแต่ละวันว่า จะใช้เวลาทำกิจกรรมต่างๆที่เหมาะสมอย่างไร และช่วยกันทำเมื่อถึงเวลาที่กำหนด เช่น การพักผ่อน การตื่นนอน การรับประทานอาหารแต่ละมื้อ การทำงานบ้าน การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การอ่านหนัง สือ การทำการบ้าน การดูทีวี การไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ฯลฯ
  • ตกลงกติกาในบ้านที่เหมาะสม ให้ทุกคนรับทราบและปฏิบัติร่วมกัน เป็นการฝึกให้ลูกรู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น เข้าใจผู้อื่น เคารพกติกา และสามารถปฏิบัติตนที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ เช่น ไม่พูดคำหยาบ พูดจาสุภาพ ใช้ของแล้วเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อยทุกครั้ง ช่วยกันจัดโต๊ะอาหาร เก็บจาน เป็นต้น
  • สอนลูกทำการบ้าน เริ่มจากการทำความเข้าใจกับลูกว่า การบ้านเป็นความรับผิดชอบของลูกที่จะต้องทำให้เสร็จเรียบ ร้อยทุกครั้ง แต่พ่อแม่สามารถช่วยลูกทำการบ้านได้ โดยช่วยจัดตารางเวลา ช่วยสร้างนิสัยการทำการบ้านให้เป็นกิจวัตร สอนลูกให้รีบทำการบ้านที่ได้รับมอบหมายมา อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน ช่วยจัดสถานที่ที่เอื้อต่อการทำการบ้าน ให้มีความสงบ มีแสงสว่างเพียงพอ มีเครื่องเขียนอุปกรณ์พร้อม นอกจากนี้พ่อแม่ควรให้คำแนะนำกับลูก เช่น วิธีการหาข้อมูล วิธีใช้พจนานุกรม เมื่อลูกทำการบ้านเสร็จ ฝึกให้ตรวจดูความถูกต้องเรียบร้อยก่อนนำส่งครู และพ่อแม่สามารถสื่อสารให้ครูได้ทราบถึงปัญหาในการทำการบ้านของลูก
  • ทำการเรียนรู้ในชีวิตประจำวันให้เป็นเรื่องสนุก เพราะคนเราสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ตลอดเวลา พ่อแม่ควรทำการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้เป็นเรื่องสนุก น่าสนใจ มีความท้าทาย ฝึกให้ลูกรู้จักตั้งคำถามและฝึกหาคำตอบในเรื่องต่างๆ ฝึกคิดแก้ปัญหา ฝึกให้ลูกรู้จักแสดงความคิดเห็น เปรียบเทียบความเหมือนความต่าง นำเรื่องต่างๆมาเล่าให้ลูกฟัง พร้อมทั้งสอดแทรกข้อคิด สิ่งที่น่าเรียนรู้ไว้ด้วย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อลูกมาก ฝึกให้ลูกคิดถึงอนาคตของตัวเอง สิ่งที่ลูกคาดหวังจะสำเร็จได้ด้วยการเริ่มต้นในวันนี้ ลูกจึงควรมีส่วนในการวางแผนอนาคตของตัวเอง และสามารถตัดสินใจในบางเรื่องได้
เมื่อลูกรู้จักใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อการเรียนรู้ จนเกิดความใฝ่รู้ ก็จะมีจิตสำนึกในการฝึกตน ต้องการเรียนรู้ ต้องการฝึกตน เจอสิ่งที่ยาก ก็จะรู้ว่าตัวเองจะได้ฝึกศึกษามาก ก็จะทำด้วยความเต็มใจ ทั้งสุขภาพจิตก็ดี มีความสุข และทำสำเร็จได้ผลดี

เกร็ดความรู้เพื่อครู 

ภารกิจสำคัญของการศึกษา คือ การฝึกอบรมแต่ละบุคคลให้พัฒนาปัญญา เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ ให้เกิดความรู้ ความเข้า ใจในข้อเท็จจริงและสภาวะของสิ่งทั้งหลาย มีทัศนคติต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง ปฏิบัติและจัดการกับสิ่งทั้งหลายตามที่ควรจะเป็น เพื่อให้เกิดเป็นประโยชน์ตน คือ ความมีชีวิตอยู่อย่างสำเร็จผลดีที่สุด มีจิตใจเป็นอิสระ มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ และประโยชน์ผู้อื่น คือ สามารถช่วยสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ชนทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคมได้
คุณสมบัติของผู้สอน ผู้สอนจึงควรมีคุณสมบัติภายนอก อันได้แก่ บุคลิกภาพ และคุณสมบัติภายใน คือ คุณธรรมต่างๆ ดังนี้
  • คุณสมบัติภายนอก : ผู้สอนควรมีบุคลิกภาพที่ดี สง่างาม พูดจาสุภาพ ไพเราะ มีกิริยาที่งดงาม น่าเลื่อมใส ชวนให้เข้าใกล้
  • คุณสมบัติภายใน : ผู้สอนควรมีความรู้เข้าใจในเนื้อหาที่จะนำมาสอน รู้จักเด็กนักเรียน รู้ความแตกต่างระหว่างบุคคล รู้ขีดความสามารถของเด็กที่มีพัฒนาการในระดับต่างๆ มีความรู้เข้าใจในพฤติกรรมของเด็กเป็นอย่างดี รู้วิธีการปฏิบัติที่จะพาเด็กไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ รู้ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคหรือส่งเสริมเพิ่มพูนผลสำเร็จของการเรียนรู้ และรู้จักใช้เทคนิคต่างๆเข้าแก้ไข ส่งเสริม นำการเรียนรู้และการฝึกอบรมให้ดำเนินก้าวหน้าไปด้วยดี
หลักทั่วไปในการสอน
  • เกี่ยวกับเนื้อหาเรื่องที่จะสอน ครูควรสอนจากสิ่งที่เข้าใจง่ายไปหาสิ่งที่เข้าใจได้ยาก สอนสิ่งที่แสดงได้ด้วยของจริง ให้เด็กได้ดู ได้เห็น ได้ประสบการณ์ตรง สอนตรงเนื้อหา ไม่วกวน สอนมีเหตุผล สอนสิ่งที่มีความหมาย สอนให้เกิดความเข้าใจ ให้การเรียนรู้ได้ผล
  • เกี่ยวกับตัวผู้เรียน ครูควรรู้ เอาใจใส่ผู้เรียน และสอนให้เหมาะตามความแตกต่างของเด็ก ปรับวิธีสอนให้เหมาะกับเด็ก คำนึงถึงความพร้อมของเด็กแต่ละคน สอนโดยให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง ให้มีการแสดงความคิดเห็น ให้เด็กกับครูมีบทบาทร่วมกัน
  • เกี่ยวกับการสอน การเริ่มต้นเป็นจุดสำคัญมาก การเริ่มต้นที่ดีมีส่วนช่วยให้การสอนสำเร็จผลดีเป็นอย่างมาก สามารถเป็นเครื่องดึงความสนใจและนำเข้าสู่เนื้อหาได้ ครูควรสร้างบรรยากาศในการสอนให้ปลอดโปร่ง เพลิดเพลิน ไม่ให้ตึงเครียด ไม่ให้เกิดความอึดอัดใจ และให้เกียรติเด็ก ให้เด็กมีความภูมิใจในตัวเอง สอนมุ่งเนื้อหาให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่สุดเป็นสำคัญ สอนโดยความเคารพ ตั้งใจสอน มองเห็นความสำคัญของเด็ก ใช้ภาษาสุภาพ นุ่มนวล ชวนให้สบายใจ เข้าใจง่าย
การช่วยให้เด็กเกิดทัศนคติที่ถูกต้อง รู้จักมองสิ่งทั้งหลายตามที่เป็น และสามารถจัดการสิ่งต่างๆตามที่ควรจะเป็น ให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนและสังคม ภารกิจของผู้สอนและให้การศึกษาจึงเป็นเพียงผู้ชี้นำทางหรืออำนวยโอกาส ช่วยให้ผู้ เรียนหรือผู้รับการศึกษาอบรม เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ ดำเนินเข้าสู่ปัญญา สิ่งที่ดีที่สุดที่ผู้สอนจะทำได้ คือ ตั้งใจช่วยเหลือ พยายามสรรหาอุบาย กลวิธี และอุปกรณ์ต่างๆที่จะมาช่วยผู้เรียนให้เข้าถึงปัญญาอย่างได้ผลดีที่สุด ที่เรียกว่า เป็นกัลยาณมิตร

พฤติกรรมตัวอย่าง

ตัวอย่างพฤติกรรมเกี่ยวกับค่านิยม12ประการข้อที่4


    1. น้องมะลิเป็นเด็กตั้งใจเรียน เํธอมักจะตั้งใจฟังครูสอน และทำการบ้าน ในตอนพักเที่ยงเธอก็มักจะอ่านหนังสือติวกับเพื่อนๆ ผลจากการตั้งใจขยันหมั่นเพียรของเธอทำให้เธอสอบเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่1ได้เป็นอันดับต้นๆ





   2. ชินเป็นเด็กเกเรเขามักจะมีเรื่องทะเลาะชกต่อยกับเด็กคนอื่นเป็นประจำ วันหนึ่งเขาได้เห็นแม่ของตัวเองนั่งร้องไห้และโทษตัวเองที่เลี้ยงให้เขาเป็นเด็กไม่ดี เขารู้สึกผิดและเสียใจมาก เขาจึงคิดที่จะปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เขาเริ่มด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมต่างต่างๆของโรงเรียนไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมตอบคำถาม กิจกกรมแข่งขันทักษะทางวิชาการ หลังจากการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆเขาก็มีเพื่อนมากมาย และเพื่อนที่เขาได้ก็เป็นเพื่อนที่ดี มักชวนเขาไปติวหนังสือ หรือฝึกทำข้อสอบ หรือ ช่วยกันทำการบ้าน ผลจากการตั้งใจเข้าร่วมกันกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเองนั้นทำให้เขาได้คะแนนผลการสอบที่ดีขึ้น





   3. ส้มเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรแม้เธอจะไม่ได้เข้าโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆเนื่องจากกำพร้าพ่อแม่ เธอก็ยังพย่ายามทำงานเก็บเงินไปซื้อหนังสือมาอ่าน หรือบางครั้งเธอก็เข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดแล้วยืมกลับมา เธอพยายามขวนขวายหาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นการไปแหล่งเรียนรู้ซึ่งไม่ได้เก็บเงินค่าเข้า หรือแหล่งประวัติศาสตร์ จนวันหนึ่งเธอก็สอบเข้าทำงานในบริษัทแห่งได้แม่จะได้เงินเดินไม่สูงเนื่องจากเธอไม่มีวุฒิการศึกษาแต่เธอก็รู้สึกภูมิใจที่ความพยายามขวนขวายความรู้ของเธอประสอบความสำเร็จ

ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม

ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม

1. ตั้งใจเพียรพยายามในการเรียน และเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ พฤติกรรมบ่งชี้        
เช่น 
-ตั้งใจเรียน เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้  
-สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ





2.แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน  ด้วยการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม  บันทึกความรู้ วิเคราะห์สรุปเป็นองค์ความรู้  และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้  พฤติกรรมบ่งชี้  เช่น
ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากหนังสือ  เอกสาร  สิ่งพิมพ์  สื่อ  เทคโนโลยี    ต่างๆ  แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
- เลือกใช้สื่อได้อย่างเหมาะสม  บันทึกความรู้  วิเคราะห์  ตรวจสอบจากสิ่งที่เรียนรู้  สรุปเป็นองค์ความรู้  และแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยวิธีการต่างๆเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

    
 

คุณธรรมข้อ4


ข้อที่ 4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม
ใฝ่หาความรู้หมั่นศึกษา เล่าเรียน ทางตรงและทางอ้อม ประเทศชาติจะพัฒนาได้บุคลากรของคนในชาติต้องมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นทางวิชาการและทางทักษะความสามารถ คนในชาติมีปัญญาความรู้คนในชาติอีกส่วนก็สนับสนุนในภูมิปัญญาความรู้ของคนไทยด้วยกัน เพื่อสร้างค่านิยมใฝ่ รู้ใฝ่เรียนเชิดชูคนมีปัญญา ให้มากกว่า คนมีทรัพย์สินเงินตรา



เพลงค่านิยม 12 ประการ-ค่านิยมมีอะไรบ้างไปดูกันเลย




ค่านิยม12ประการ

 

ค่านิยม12ประการ


 หลังจากที่ทาง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ คสช. ได้มอบค่านิยม 12 ประการ ให้ทุกหน่วยทหาร กำลังพล และครอบครัว เพื่อให้ยึดถือและปฏิบัติตาม เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงามให้กับสังคมไทย พร้อมกับให้สอดแทรกค่านิยมหลัก 12 ประการ ไว้ในหลักสูตรทหาร รวมถึงให้รณรงค์เผยแพร่ค่านิยมนี้อย่างกว้างขวาง เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา 

           ล่าสุด (18 สิงหาคม 2557) พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย หรือ ว.วชิรเมธี ได้กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย ถึงเรื่อง "ค่านิยมหลักคนไทย เพื่อประเทศไทยเข้มแข็ง" ว่า นโยบายการสร้างค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. นั้น เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับหลักธรรมะ ถือว่ามีความคล้ายเคียงกัน เพราะเป็นหลักจริยธรรมที่ทุกคนควรยึดถือและประพฤติปฏิบัติ ซึ่งตนมองว่าขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะฟื้นฟูค่านิยมเหล่านี้ให้กลับคืนสู่สังคมไทย 

           พระมหาวุฒิชัย กล่าวต่อว่า การสร้างค่านิมให้ประสบผลสำเร็จนั้น ต้องปลูกฝังลงไปในรากฐานจิตใจของเด็กและเยาวชน โดยผู้ใหญ่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ด้วย ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนและโรงเรียนก็ต้องร่วมปลูกฝังเช่นกัน ด้วยการ "อบรม บ่มเพาะ" เริ่มต้นจากการจุดประกายให้คนรับรู้ จากนั้นนำไปสู่การพัฒนาและต่อยอดจนกลายเป็นวัฒนธรรม



ประโยชน์จากFlash adobe cs3

เป็นโปรแกรม Flash adobe cs3ที่มีประโยชน์มาก 
ประโยชน์ที่ได้มีดังนี้
       1.  ทำให้สามารถสร้างแอนนิเมชั่นได้เอง
       2.  ฝึกความคิดสร้างสรรค์
       3.  ใช้จินตนาการสร้างงานได้อย่างอิสระเสรี
       4.  เป็นสื่อการสอนที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ
       5.  สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดทำวิดีโอที่หลากหลาย
       6.  เกิดการใช้เวลาว่างให้เป็นนประโยชน์



                                                                     ลิงค์โหลดFlash

                                                                          วิธีโหลด
                                                         
                                                             สอนพื้นฐานการสร้างงาน





วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

น้ำหนักที่สุขภาพดีของเราเท่าไหร่กัน

จากตารางเป็นน้ำหนักที่เทียบจากความสูง โดยน้ำหนักที่ได้นั้นเป็นช่วงน้ำหนักที่สุขภาพดีของเรา การลดน้ำหนักให้ผอมจนเกินไปนั้นจะส่งผลเสียเเก่ร่างกายดังนั้นเช็คน้ำหนักตามความสูงของเรา สำหรับใครที่ยังลดไม่ได้วางเป้าหมายไว้ สำหรับคนที่ลดได้เเล้วจงรักษาด้วยการทานอาหารที่ดี เเละออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอค่ะ



อ้างอิง - www.lovefitt.com


หิวหลังออกกำลังการ ควรทานอะไร??

ตัวอย่างอาหารและของว่างที่เเนะนำให้ทานหลังออกกำลังกาย 
  • ขนมปังโฮลวีตกับ คอทเทจชีส หรือ เนยถั่ว
  • ผลไม้เเห้งและถั่วต่างๆ
  • คอทเทจชีส กับผลไม้สด
  • น้ำผลไม้คั้นสด
  • โยเกิร์ต กับผลไม้สด
  • ไข่คนกับผัก
  • ช็อคโกเเลตชิ้นเล็กๆ
  • ซีเรี่ยลกับนมไขมันต่ำ
  • ไข่ต้มกับขนมปังโฮลวีต
  • เเซนวิชโฮลวีตกับอกไก่และผัก
  • ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ กับน้ำพริกผักลวก
  • ผัดผักน้ำมันน้อยกับอกไก่ กุ้ง หรือ เต้าหู้
  • น้ำปั่นที่ผสม นม โยเกิร์ต และผงโปรตีน
  •  และอาหารทั่วไปที่ให้โปรตีนที่ดีอย่าง อกไก่ ปลา กุ้ง เเป้งไม่ขัดสี ธัญพืช และผักต่างๆ

หลังออกกำลังกายควรทานเมื่อไหร่
ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการทานอาหารหลังการออกกำลังกายคือ ควรทานหลังจากออกกำลังกายไปแล้ว 30 นาที- 2 ชม. และเมื่อร่างกายของเราพร้อมและเติมพลังงานจนเต็มเเล้วเราก็สามารถเตรียมตัวสำหรับการออกกำลังครั้งต่อไปได้เลย เเต่ถ้าหากคุณยังไม่หิว ยังไม่อยากอาหาร หรือหาโอกาสที่จะทานอาหารได้ ตามกรอบเวลาที่เเนะนำ ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ ไปร่างกายคุณยังสามารถทดเเทนพลังงานให้กับกล้ามเนื้อได้ไปอีก 24 ชม ตราบใดที่คุณยังรับประทานอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของระดับการทำกิจกรรม ถ้าเป็นไปได้ลองหาขนมขบเคี้ยวมื้อเล็กๆหรือจะเป็นน้ำผักผลไม้ปั่น ช็อคโกเเลตชิ้นเล็กๆ หรือจะเป็น เอนเนอจี้บาร์ ที่มีประโยชน์ ให้ปริมาณโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสม 

วิตามิน



วิตามินที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่มาจากอาหารที่เราทานเข้าไป และส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง วิตามินที่ดีจึงต้องสกัดจากอาหาร ถึงอย่างไร เราก็ไม่กินวิตามินแทนอาหาร และวิตามินไม่ใช่ยา แต่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic) ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย  มีหน้าที่ช่วยให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ถูกต้อง และช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะถ้าขาดวิตามินแล้วร่างกายจะหยุดทำงาน


          วิตามินบางตัวที่มีความสำคัญซึ่งที่น่ารู้จักก็คือ วิตามินในกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ได้แก่ A, C, D และ E และกลุ่มวิตามิน B ชนิดต่างๆ



วิตามิน A
พบใน น้ำมันตับปลา ผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม และหัวบีทรู้ท
ประโยชน์
- ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน
- ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
- สร้างความต้านทานให้แก่ระบบหายใจ
- ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
- ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยลบจุดด่างดำ และจุดวัยสูงอายุ
- ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชายควรกินอาหารที่มีวิตามิน A 1,000 R.E. หรือเท่ากับ 5,000 I.U. ต่อวัน
- ผู้หญิงควรกินอาหารให้ได้วิตามิน A 800 R.E. หรือ 4,000 I.U. ต่อวัน
- หากกำลังตั้งครรภ์ควรกินเพิ่มเป็น 1,000 R.E. หรือ 5,000 I.U. ต่อวัน
- สำหรับการกินวิตามิน A เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 10,000 I.U.



วิตามิน C
ประโยชน์
- เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
- ช่วยแผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
- ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
- ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (MUTATION)
- ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตาย (SIDS) ในกรณีเด็กอ่อน
- ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
- ช่วยคลายเครียด
ปริมาณที่แนะนำ
- ในรายที่ขาดวิตามิน C ควรกิน เสริม วันละ 1,000 mg



วิตามิน D
พบมาก ในเนย นม เนยแข็ง และในแดด ดังนั้น เราจึงควรตากแดดวันละ 2-3 ชั่วโมง
ประโยชน์
- ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มพลังงาน และช่วยรักษาสิว ทั้งนี้หากกินร่วมกับวิตามิน B6 ในขนาดสูงๆ จะช่วยรักษาข้ออักสบ และโรคเรื้อนกวาง (สะเก็ดเงิน) ได้
ปริมาณที่แนะนำ
- ควรกินวิตามิน D เสริม วันละ 1,000 I.U



วิตามิน E
ประโยชน์
- หน้าที่สำคัญที่สุดของวิตามิน E เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญ (OXIDATION) โดยมีตัวออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด ช่วยลอความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ
- บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย
- ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ
- บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย
- ช่วยให้ผิวหนังสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น
- ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น และไม่อ่อนเพลียง่าย
ปริมาณที่แนะนำ
- ควรกินวิตามิน E เสริม ขนาดเม็ดละ 400 I.U. วันละ 2 เม็ด เช้า-เย็น
- ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเกิดความดันโลหิตสูงได้ในบางราย วิธีแก้อาการดังกล่าวคือ ควรกินในปริมาณ 100 I.U. ก่อน แล้วจึงเพิ่มปริมาณเป็น 200 I.U. และ 400 I.U. ตามลำดับ
- หากกินเหล็กและวิตามิน E พร้อมกัน จะเกิดภาวะที่ร่างกายไม่สามารถดูดวึมวิตามิน E ได้ วิธีแก้คือ ควรแยกกินวิตามิน E ก่อนธาตุเหล็ก 8-12 ชั่วโมง



วิตามิน B

วิตามิน B1 หรือ Thiamin
ประโยชน์
- จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อย หัวใจ และกล้ามเนื้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยแก้อาการเมาคลื่น และเมาอากาศ
- ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตและรักษางูสวัด (Herpes Zoster) ให้หายเร็วขึ้น
ปริมาณที่แนะนำ
- ถ้าต้องการกินวิตามินชนิดนี้เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 1 เม็ดหลังอาหาร เม็ดละ 100 mg
- หากเกิดอาการเครียด ตื่นเต้น เจ็บป่วยโดยเฉพาะหลังผ่าตัด ควรกินวิตามิน B1 ร่วมกับวิตามิน B Complex (วิตามินบีรวม)
- คนที่ควรกินวิตามิน B1 เสริม คือ
- คนที่ชอบกินของหวานๆ กับแป้งขาวมากๆ หรือสูบบุหรี่ และดื่มเหล้าจัด ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคขาดวิตามิน B1 ได้
- คนที่กินยาลดกรดในกระเพาะเป็นประจำ เพราะยาลดกรดจะทำลายวิตามิน B1 ในอาหารให้เหลือน้อยลง
- ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดเป็นประจำ


วิตามิน B6 หรือ Pyridoxine
ประโยชน์
- ช่วยเปลี่ยนแอมิโนแอซิดให้เป็นวิตามินอีกตัวคือ Niacin หรือวิตามิน B3 ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตให้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และแร่ธาตุแมกนีเซียม
- ช่วยบรรเทาโรคเกิดระบบประสาทและผิวหนัง
- ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้ และอาเจียน
- ช่วยบรรเทาอาการปากแห้ง และคอแห้ง
- ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชา และช่วยขับปัสสาวะ
ข้อแนะนำสำหรับบางคน
- ผู้ที่กินยาคุมกำเนิดควรกินวิตามิน B6 เป็นประจำ
- ผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าต้องใช้อินซูลิน ควรกินวิตามิน B6 ควบ และปรับอัตราการใช้อินซูลินให้ได้ตามส่วนของน้ำตาลในเลือด


วิตามิน B12 หรือ Cobalamin
ประโยชน์
- ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
- ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร
- ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี
- ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดี และมีสมาธิ
ข้อแนะนำสำหรับบางคน
- ผู้หญิงที่อ่อนเพลียเพราะประจำเดือนมามาก ควรกินวิตามิน B12 เสริม
- ผู้ที่เป็นมังสะวิรัติอย่างเคร่งครัด ก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเช่นกัน
- ผู้ที่ติดเหล้าหรือดื่มจัดก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเป็นประจำ


วิตามิน B3 หรือ Niacin
ประโยชน์
- ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด
- รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
- ช่วยอาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้น
- ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน
- ช่วยบรรเทาโรคอาไทรทิสและข้ออักเสบ
- ช่วยกระตุ้นและแก้ไขความบกพร่องทางเซ็กซ์
- ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ปริมาณที่แนะนำ
- สามารถกินวิตามิน B3 เสริมได้ตั้งแต่ 100 - 2,000 mg ต่อวัน
- สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจควรใช้ในปริมาณที่สูงถึงวันละ 7,000-8,000 mg


วิตามิน B5 หรือ Pantoyhenic Acid
ประโยชน์
- ช่วยสร้างแอนติบอดี้ซึ่งเป็นตัวสำคัญของ Immune System หรือภูมิชีวิต
- เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาลเพื่อสร้างพลังงาน วิตามินB5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล
- ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
- ช่วยให้ร่างกายหายจากการช็อคหลังการผ่าตัดใหญ่
- ช่วยให้อาการอ่อนเพลียหายเร็วขึ้น
ปริมาณที่แนะนำ
- ในรายที่ขาดวิตามิน B5 ควรกินเสริมวันละ 2 เม็ด เม็ดละ 100 mg


วิตามิน B Complex
ประโยชน์
- ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นก ลูโคส ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน
- ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
- ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปาก และตับ
- ในกลุ่มชีวจิตเราเชื่อว่าเมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป การดูดซึมของลำไส้จะทรุดโทรมลง ต้องแก้ไขด้วยการบริหารร่างกายและใช้วิตามินกลุ่ม B Complex
ปริมาณที่แนะนำ
- ตามปกติผู้ที่กินอาหารตามสูตรของชีวจิต จะได้รับวิตามิน 2 ชนิดนี้เพียงพอ
- ถ้าเป็นอาหาร วันหนึ่งๆ เรามีวิตามิน 2 ชนิดนี้รวมกันวันละ 300-400 mg ก็เพียงพอแล้วแต่ถ้าใช้เป็นยาต้องใช้ถึงวันละ 3,000-5,000 mg

ของว่างง่ายๆสำหรับคนรักสุขภาพ



About me


ประวัติส่วนตัว


ชื่อ ด.ญ. มณชนก  แก้วประดับ

ชื่อเล่น ตังค์

อายุ 14

ศึกษาอยู๋ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา

facebook  T Tung Monchanok

E-mail  t_nongtung@hoamail.com

อาหารที่ชอบ ไอศกริม , เค้ก

งานอดิเรก ฟังเพลง

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Tips - การรับประทานอาหาร



รับประทานอาหารที่ช่วยรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การกินอาหารที่มีไขมันหรือประเภทแป้งมากเกินไปอาจทำให้อ้วน น้ำหนักก็จะมากกว่าเกณฑ์ ปกติ การหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าวอาจทำให้น้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ใน เกณฑ์ปกติมีความสำคัญทั้งต่อเด็กและผู้ใหญ่ เนื่องจากความอ้วนหรือความผอมย่อมเสี่ยงต่อการเป็นโรคทั้งสิ้น
การรักษาสุขภาพกับการรับประทานอาหาร
        1. กินอาหารเช้า
        2.เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา
        3.กินธัญพืชและข้าวกล้อง
        4.รับประทานผักผลไม้ต่างๆให้หลากสี  
        5.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบกรอบ
        6.หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด

                              
                     -ลองมาดูอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพกันเถอะ-

                                8 อาหารบำรุงสมอง


Let's exercise- มาออกกำลังกายกันเถอะ



การออกกำลังกายง่ายๆที่บ้าน

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Tips - การออกกำลังกาย


Tips 



สิ่งที่ควรทำในการออกกำลังกาย
          1. ควรเช็คสมรรถภาพร่างกายของตัวเองก่อนเป็นอันดับหนึ่ง ต้องรู้ว่าสภาพร่างกายของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร มีปัญหาที่ส่วนไหนบ้างรึเปล่า เช่น แขน ขา ข้อ หรือเข่า เพื่อเลือกเล่นกีฬาที่เหมาะสมกับตัวเอง และต้องดูว่าสุขภาพของเราแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้

          2. วอร์ม หรือยืดกล้ามเนื้อก่อน และหลังออกกำลังกายสัก 3-5 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อของน้องๆ นั้นเตรียมพร้อมที่จะยืด และคลายตัว เพื่อที่จะรองรับการยืดหยุ่นในการออกกำลังกายในท่าทางต่างๆ รวมทั้งทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นอีกด้วย


          3. ต้องมีการพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าอดนอน หรือพักผ่อนไม่เต็มที่ ก็ไม่ควรจะหักโหมเล่นกีฬา เพราะจะทำให้ร่างกายทนไม่ไหว และอาจจะทำให้หน้ามืดได้ ควรเล่นออกกำลังกายโดยไม่ฝืนสภาพร่างกายของตัวเอง

          4. เตรียมเวลาให้เพียงพอ ควรใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง สำหรับการออกกำลังกายในแต่ละครั้ง โดยปกติจะออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง และอีก 1 ชั่วโมงสำหรับการอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายที่สกปรกจากคราบเหงื่อ และสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ติดตัวเรามา

          5. ควรตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องมือ ที่จะใช้ในการออกกำลังกายให้พร้อม และอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดี เพื่อป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุ ที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะอุปกรณ์มีความแข็งแรงไม่เพียงพอ

         
 สิ่งที่ไม่ควรทำในการออกกำลังกาย
          1. ไม่ควรดื่มกาแฟก่อนจะออกไปเล่นกีฬา หรือออกกำลังกาย เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ทำให้เกิดการเต้นผิดจังหวะ จึงจะทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบได้ บางคนอาจเกิดอาการหายใจสะดุดซึ่งเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก

          2. ไม่ควรทานอาหารมื้อหนัก หรือมื้อใหญ่ ก่อนออกกำลังกาย 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะอาหารที่ทานเข้าไปนั้นยังไม่ย่อย และจะทำให้เกิดอาการจุกเสียดได้

          3. หลังเล่นกีฬาเสร็จแล้วอย่าดื่มน้ำเย็นจัด หรืออาบน้ำเย็นทันที เพราะร่างกายของน้องๆ นั้นยังชื้นเหงื่ออยู่ ควรรอให้แห้งเสียก่อน ให้ระบบร่างกายของน้องๆ ได้มีการปรับอุณหภูมิให้เป็นปกติก่อน ไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดอาการไม่สบายได้

          4. ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะออกกำลังกาย เพราะจะทำให้ระบบหายใจเกิดอาการผิดปกติ เนื่องจากมีก๊าซออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการล้า และง่วงหงาวหาวนอนได้ง่าย

          5. อย่าหักโหมในออกกำลังกาย เพราะหวังจะให้น้ำหนักลดภายในวันสองวัน เพราะนอกจากจะเป็นไปได้ยากแล้ว ยังจะทำให้สุขภาพร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายอีกด้วย